ตอน37 : รู้ไหม สยามแน่แค่ไหนจึงอยู่รอดมาได้ในในสมัยยุคล่าอาณานิคม ?

#มีความสนใจในประวัติศาสตรฦ์อยู่บ้างเล็กๆ

#บันทึกเก็บไว้

ตอน37 : รู้ไหม สยามแน่แค่ไหนจึงอยู่รอดมาได้ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ?

ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ในแถมเอเซียได้มีมหาอำนาจจากยุโรปเข้ามากอบโกยประเทศแถบเอเซีบมากมายโดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศษ รอบบ้านของสยามหรือประเทศไทยได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสองประเทสนี้จนหมดสิ้น

แต่เหตุใดสยามที่ไม่ได้ใหญ่โตแบบจีน ไม่ได้มีกองทัพมากมายนับล้านจึงได้รอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นจาก สองมหาอำนาจนี้

ไม่ใช่ว่าสยามไม่ได้เป็นที่ต้องการหรอกนะ แต่กลับกันเลย สยามคือประเทศที่สองประเทศนี้ต้องการมากที่สุด และอยากได้มาครอบครองยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถทำได้

ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ดวง แต่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ฉลาดที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธที่มีความเสียเปรียบให้กลับมาได้เปรียบตลอดเวลาต่างหาก

…มาดูกัน…

ฝรั่งเศษก่อนเลย ยกแรกผรั่งเศษใช้ข้ออ้างเรื่องการกดขี่ศาสนาคริสต์และการสังหารหมู่บาดหลวงที่อ่าวตังเกี๋ย แต่ไม่อาจใช้กับสยามได้ เพราะสยามเปิดเสรีภาพทางศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว

ฝรั่งเศษจึงใช้ข้ออ้างเรื่องรัฐบรรณาการแบบที่เคยใช้ยึดสิบสองจุไท เพื่อที่จะได้ลาวกับเขมรทั้งหมด แต่ร.๔ ได้ทรงวางอุบายซ่อนลาวแล้วขีดเส้นเขมรส่วนนอกให้กับฝรั่งเศษ ส่วนเขมรส่วนในยังคงเป็นดินแดนของสยามอยู่ กงสุนฝรั่งเศษรู้อย่างนั้นก็รีบกระโดดรับทันทีเพราะคิดว่าได้เปรียบแน่ๆ ไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่าฝรั่งเศษรองรับรัฐบรรณาการของสยามที่เดิมทียังไม่ได้ผนวกรวมเป็นของสยามอย่างไม่ได้ตั้งใจ

สื่อหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศษด่ารัฐบาลโคชินไชน่าและกระทรวงอาณานิคมอย่างย่อยยับเลย

พอมาเจอกดดันหนักๆเข้ารับบาลฝรั่งเศษจึงทิ้งมาดผู้ดียอมหักดิบเอาเรือรบเข้าปากอ่าวสยามและนำกำลังทางบกเข้ายึดที่มั่นในคำง่วน หวังให้สยามต่อสู้เหมือนอย่างที่ทำกับเวียตนาม แต่สยามกลับพรางเรือทางน้ำเป็นเตมีญ์ใบ้

ทางน้ำก็ยิงแต่พอหอมปากหอมคอ

ทางบกของกองทัพข้าหลวงอุบลและข้าหลวงหนองคายก็ไม่ยอมขยับซักแอะ

สรุปที่ยกทัพกันมาก็เสียเปล่า

ฝรั่งเศษไม่ยอมแพ้ คิดอุบายขึ้นมาใหม่ เรียกค่าปฏิกรรมสงครามอย่างที่อังกฤษเคยใช้เล่นงานพม่าหนึ่งหมื่นล้านปอนด์โดยรัฐบาลอังวะมีปัญญาจ่ายได้แค่30%เท่านั้น

ฝรั่งเศษคะเนดูแล้วว่าสยาม ไม่มีปัญญาจ่ายได้แน่นอนจึงขอรับเป็นเงินเหรียญทั้งหมดไม่เอาเงินธนบัตรเลย โดยต้องหามาใหได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าไม่ได้ตามนี้โดนเรือปืนยิงพระบรมหาราชวังแน่นอน

ใครๆก็ฟันธงว่า สยามในตอนนั้นไม่รอดแน่ ในเอเซียตะวันออกใครจะมีปัญญาหาเงินเหรียญถึง สามล้านฟรังค์ได้ แม้นหาได้ก็คงไม่สามารถหาได้ภายในวันเดียวแน่นอน

แต่สยามเนี่ยมีปัญญาหาได้ เงินเหรียญเป็นเงินแมกซิกันเสียด้วย ไอ้พวกฝรั่งเศษเนี่ย งงเป็นไก่ตาแตกเลย

อย่าลืมว่าฝรั่งเศษได้ดินแดนส่วนลาวของเขมรไปไม่ใช่หรือ?

ซึ่งก็เป็นดินจริงๆ ประชากรหายเกลี้ยง กะจะให้เป็นแหล่งปลูกข้าวแบบปากแม่น้ำโขงของเวียตนาม แต่ดินแดนที่ได้จากสยามเนี่ย กลับมีแต่ภูเขา ตรงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านมีแต่เกาะแก่งเอาเรือกลไฟล่องได้แค่เวียงจันและสะหวันเขตเท่านั้น เรือเมล์ขาดทุนทุกปี ภาษีจากอันนัมก็เอามาเสียกับลาวและเขมรเยอะมาก จึงมีแผนที่จะเพิ่มพื้นที่เข้ามาในภาคอีสาน แต่พอแรงกดดันจากจักรวรรดิรัสเซียและแรงสนับสนุนสยามจากจักรวรรดิออสเตรียเยอรมัน หนำซ้ำสยามยังเล่นการเมืองเป็นด้วย โดยการยิงทะลุใจกลางฝรั่งเศษ คือล๊อบบี้จ้าวราชนิกูลราชวงศ์ลูวองที่กลับมามีอิทิพลอย่างลับๆในรัฐบาลฝรั่งเศษหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณะรัฐฝรั่งเศษที่สาม ทำให้กระทรวงอาณานิคมของฝรั่งเศษถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว แผนการกลืนดินแดนของสยามจึงหยุดชะงักลงไปแค่นั้น เพราะต้องกลับไปแก้ปัญหาที่ฝรั่งเศษอย่างกระทันหัน

 ถึงคราวอังกฤษ อังกฤษเจออิทธิฤทธิ์จากรัฐบาลสยามเป็นครั้งแรก ตอนสนธิสัญญาเบอนี่ในสมัยรัชกาลที่สาม

รัฐบาลอังกฤษในตอนนั้นถึงกับตำหนิ ราชทูต เฮนลี่ เบอนี่ ที่ส่งสัญญาไปจากสิงคโปไปอย่างหัวเสียว่า ไปทำสัญญาบ้าอะไรกับสยามถึงทำให้อังกฤษต้องจ่ายภาษีให้กับสยามมากกว่าที่ต้องจ่ายให้จีนเสียอีก แถมเรืออังกฤษ ถ้าเข้าท่าสยามจะมีสินค้าหรือไม่ก็ตามต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปากเรือแล้วยังต้องซื้อไม้สักจากพ่อค้าคนกลางคือรัฐบาลสยามอีก

อังกฤษจึงเตรียมแก้มือโดยแก้ไขสัญญาใหม่ และเตรียมนำเรือรบปิดปากอ่าวบีบให้ทำสัญญาแบบเดียวกับที่ทำแบบจีน

เป็นเชิงยั่วยุว่า สยามจะต้องฟิวขาดแน่นอน

อังกฤษเจอการทูตจากรัฐบาลสยามชุดใหม่ ที่มาใหม่แบบงงๆ เกิดเป็นสนธิสัญญาเบาริ่งค์แบบงงๆ อังกฤษจึงกลับบ้านเกิดไปพร้อมๆกับสนธิสัญญาเบาริ่งค์แบบงงๆเช่นเดียวกัน

ราชทูตอังกฤษที่เข้ามาสยามในครั้งนั้น ชื่อว่า เซอร์ จอร์น เบาริ่งค์ เจ้าเมืองฮ่องกง ผู้เคยเล่นงานราชวงศ์ชิงจากการเป็นตัวตั้งตัวตีในสงครามฝิ่น อีกครั้งที่อังกฤษหวังใช้เล่นงานสยามบ้าง

หลังจากย้ายจากฮ่องกง อยู่ๆสยามก็แต่งตั้งให้เป็น พระยาสยามนุกูลกิจตำแหน่งเอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงลอนดอนคนแรก แต่งตั้งทูตอังกฤษที่เป็นคนอังกฤษสายเหยี่ยวมาเป็นทูตของตัวเองประจำอังกฤษ หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

ใช้กับราชสำนักชิง โดยการปล่อยเงินกู้ให้สร้างทางรถไฟแก่สยามในสมัยรัชกาลที่สี่

ผลก็คือ เรากำลังมีโปรเจดของเราเร็วๆนี้ ขอบคุณที่เสนอมานะ  ……จบ……

พม่าเคยตกเป็นตัวตลกในราชสำนักอังกฤษ ด้วยพระราชสารของพระเจ้ามินดงถึงพระราชินีวิกตอเรีย เรียกพระนางว่า พระน้องนางเรา ทำให้เจรจาอะไรก็ติดขัดไปหมด

ถึงคราวสยามบ้าง นอกจากพระราชสารจะเป็นแบบทั่วไปในภาคพื้นยุโรปแล้ว ยังมีจดหมายน้อยจากพระเจาแผ่นดินสยามมาถึงพระนางเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งทวีปปริเตนและไอร์แลนด์ นี่คือแสดงความศิวิไลของประเทศสยามอย่างสุดขีดเลยทีเดียว

อังกฤษเจอวิธี สยามขีดแผ่นดินมลายูออกไปสองส่วน แบบที่ทำกับเขมรเมื่อตอนทำกับฝรั่งเศษนั่นแหละ ผลคืออังกฤษรับรองดินแดนสยามเหนือปัตตานีและมลายูตอนบน

อังกฤษตอบโต้โดยใช้ไทยใหญ่โมเดลที่เคยใช้พิชิตแผ่นดินอังวะ โดย พยายามที่จะสนับสนุนแผ่นดินล้านนาให้มาเป็นรับอารักขาแบบไทยใหญ่ แต่เจอโต้กลับโดยยุทธวิธีตั้งข้าหลวงต่างพระองค์ไปปประจำแบบรัฐบาลส่วนภูมิภาค เจ้าล้านนาก็ขยับอะไรไม่ได้เลย

ปกติประเทสแถบนี้จะใช้อังกฤษมาคานอำนาจฝรั่งเศษ หรือใช้ ฝรั่งเศษมาคานอำนาจกับอังกฤษ ที่ปวดใจคือทั้งสองประเทศรู้กลยุทธนี้ดีอยู่แล้วและไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างประเทศแถบเอเซียเด็จขาด ผลคือ ทั้งสองประเทศนี้ได้แอบจับมือกันอย่างลับๆไม่ยอมตีกันซึ่งพม่าได้พิสูจน์มาแล้วที่ดันไปไว้ใจฝรั่งเศษหวังคานอำนาจอังกฤษ ตอนที่อังกฤษจะยึด มันทะเลย์ พม่าร้องหาฝรั่งเศษจนเฮือกสุดท้าย แต่พี่แกกลับนั่งฉีกขนมปังมองดูเฉยๆ

สำหรับสยามล้ำกว่านั้น สยามรู้ว่าสองมหาอำนาจนี้ไม่ได้คานอำนาจกันจริงๆ สยามจึงไปใช้มหาอำนาจที่คานอำนาจได้จริงๆดีกว่า นั่นคือจักรวรรดิออสเตลียเยอรมัน และ จักรวรรดิรัสเซีย และไม่ได้ทำการทูตแบบธรรมดา พระเจ้าแผ่นดินสยามเล่นเองจนเกิดความสนิทสนมระหว่างพระราชวงศ์ ตอนนั้นสยามเป็นประเทศเดียในเอเซียจริงๆที่เล่นการเมืองแบบนี้  ฝรั่งเศษและอังกฤษก็ไปไม่เป็นอีกเช่นกัน

เรื่องที่บอกว่า สยามรอดมาได้เพราะดวงล้วนๆ เนี่ยเป็นคำแก้เกี้ยวเท่านั้น

ฝรั่งเศษและอังกฤษจะเอาสยามเป็นรับกันชน เป็นคำแก้เกี้ยวเท่านั้น

แนวคิดเรื่องรัฐกันชนมีจริง  …แต่เป็นดินแดนเล็กๆบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทั้งสองประเทศจะเหลือไว้ให้สยาม

อังกฤษหมายปองไม้สักจากล้านนา พอๆกับที่ฝรั่งเศษหมายปองภาคอีสานของสยามนั่นแหละ

แต่สุดท้ายได้แค่มองเท่านั้นแหละ

มาถึงบทสรุปกันดีกว่า…..

สื่อฝรั่งเศษยังยอมรับโดยดุษฏีว่า ฝรั่งเศษแพ้เกมการเมืองจากสยาม ด้วยบทความของหนังสือพิมพ์ เลอ มาติน ฉบับวันที่18 มิถุนายน 1907 กล่าวว่า

“นักการเมืองยุโรปคุยนักคุยหนาว่ารู้จัก คิง จุฬาลงกรณ์ เป็นอย่างดีบางคนรู้ลึกถึงขนาดว่าพระองค์มีชายาถึง 800 องค์ แต่ทว่า คนอังกฤษ คนฝรั่งเศษยื้อแย่งประเทศของพระองค์อย่างไม่เป็นผลเท่าไร และไม่มีใครสามารถฮุบประเทศนี้ได้จริงๆจังๆเสียที

ขนาดส่งเรือรบเข้าไปถึงในใจกลางเมืองหลวง แต่การเมืองที่คิงใช้หลอกล่อพวกเรา เรือรบเหล่านั้นต้องถอยกลับออกมาหมด พร้อมกับเงินที่พระองค์มอบให้เราเพียงหยิบมือ ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดและเหลือเชื่อ แทนที่เราจะตั้งหน้าตั้งตารบกันจริงๆ

แต่เรากลับตั้งต้นคืนดีกัน เพราะเราได้แค่เขมรมาในครอบครอง ฝรั่งเศษได้เป็นเพื่อนบ้านของสยามโดยปริยาย เราได้สมบัติจากนครวัดมไว้เชยชมมากมายแล้วก็จริง แต่ยังเอื้อมไปไม่ถึงนครวัดที่เป็นต้นตอของสมบัติเหล่านั้น ทำให้เราดูคล้ายกับแมงหวี่ยุ่งๆที่สร้างความรำคานให้วัว แต่ก็ทำอะไรวัวไม่ได้

แต่แล้วฝรั่งเศษก็สูญเสียจันทบุรีไป ทุกครั้งที่มีการลงนามในกระดาษ เรามักพูดว่าเป็นชัยชนะทางการทูตร่ำไปแต่แท้ที่จริงแล้วเราไม่เคยชนะอะไรเลย ฝรั่งเศษต้องเสียเงินมากเท่าไรเพื่อแลกกับแผ่นดินที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเหล่านั้น

ตั้งแต่ คศ.1904 เราทุ่มเทเนหลายร้อยล้านฟรังค์เพื่อพัฒนาท่าเรือเมืองตราดที่ทดแทนจันทบุรีมาได้ โดยที่เราวาดฝันว่ามันจะกลายเป็นเมืองท่า เลอ ฮาฟ อันยิ่งใหญ่ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นภาพลวงตาทั้งเพ ดูตามแผนที่มันช่างเป็นทำเลสุดวิเศษ แต่ที่จริงต้องใช้เวลาเดินเท้าเป็นวันๆกว่าจะเข้าไปถึงมัน ผู้ชนะที่แท้จริงน่าจะเป็น เดอะ คิง ที่สามารถทำให้เราถอยออกไปได้แบบถอนรากถอนโคน การสิ้นสุดอำนาจของฝรั่งเศษในดินแดนของพระองค์ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

พระองค์รายล้อมไปด้วยพันธมิตรที่ไม่น้อยหน้ใครในยุโรป คือ ปริทร์ วันเด อะมาร์ ผู้มีพระชายาเป็นเจ้าหญิงชาวฝรั่งเศษ คือ ปรินทร์ วันเดอมา เป็นพระเชษฐาของพระจักรพรรดิณี มารียา ฟรีโอโดรอปน่า ของรัสเซีย ทำให้ทำนายได้ไม่ยากว่าใครคือผู้ปกป้องราชอาณาจักรเล็กๆนี้ มันเป็นความกดดันสำหรับฝรั่งเศษในการทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ ถึงแม้ว่าฝรั่งเศษจะเดินหน้าไปก่อน แต่แท้ที่จริงกลับเป็นเดนมาร์กที่ล่วงหน้าเราไกลแล้ว เห็นได้ชัดว่าผลประโบชน์ของชาวเดนมาร์กมหาศาลที่ฝังรากได้อย่างมั่นคงใน ธุรกิจเหมือนแร่ การเดินเรือ สัมประทานเดินรถไฟฟ้าและอื่นๆ ในขณะที่ฝรั่งเศษเป็นเพียงบุคคลรับราชการในสำนักสยาม สยามว่าจ้าง80อังกฤษ 20เยอรมัน 38เดนมาร์ก 8 เบลเยี่ยม 7 อิตาเลี่ยน และที่เหลือเป็นชาวญี่ปุ่น นี่หรือที่เราเรียกว่าชัยชนะทางการเมืองของฝรั่งเศษ

ขณะที่ฝรั่งเศษกำลังถอยหลังมาอยู่ที่จุดศูนย์ เราได้แต่ความเกลียดชัง ในขณะที่ชาวเดนมาร์กได้หน้า พวกเราหมดสิ้นแล้วในสยาม ถ้าจะมีอะไรเหลืออยู่ คงมีแต่เจ้าหญิง มารี ออง เลอ กอง เท่านั้นที่จะช่วยผลักดันทางอ้อมที่จะช่วยให้สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นจริงขึ้นมา

การที่จะได้เขมรส่วนใหญ่กลับคืนมาเป็นของเรา เท่ากับได้ขวัญกำลังใจของเรากลับคืนมาด้วย

คิง จุฬาลงกรณ์ ได้ทรงกระทำทุกอย่างเพื่อปกป้องประชาชนของพระองค์ การยอมเสียสละแผ่นดินเขมรที่เหลืออยู่สี่หมื่นตารางกิโลเมตรและประชากรแสนแปดหมื่นคน ทำให้พระองค์มีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียวในลุ่มน้เจ้าพระยาอันกว้างใหญ่

มิสเตอร์บิชอง และมิสเตอร์เบอร์เตสต้า อธิบายว่าเป็นภาระกิจขั้นตอนสุดท้ายที่เราจะทำได้ แต่ความสำเร็ขอาจจะไม่เกิดขึ้นถ้าเจ้าหญิง มารี ไม่ใช้อิทธิลของเธอกับพระเจ้ากรุงสยาม ผลที่สุด สยามพบเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวสยาม

คิง จุฬาลงกรณ์ ที่กำลังจะกลับมาเยือนยุโรปอีกครั้ง ในนามของผู้นำทีเป็นเอกราชจริงๆ จิ้งจอกฝรั่งเศษเจอ อิทธิฤทธ์

ลูกแกะอย่างสยามก็สิ้นท่าเหมือนกัน ”

นี่เป็นบทความเรื่อง สยามมิชทอร์กกับการรับมือลัทธิการล่าอาณานิคม  สมัยที่ยุคล่าอาณานิคม เพื่อนบ้านของเราถูกแบ่งเค้กออกเป็นชิ้นๆแบ่งกันระหว่างประเทศอังกฤษและฝรั่งเศษกันอย่างเพลิดเพลิน

กลับมาที่สยาม กลับเป็นประเทศดียวตรงกลางที่รอดออกมาได้

ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จไปฉายพระรูปคู่กับพระเจ้าซาร์ที่2 แห่งจักรวรรดิรัศเซีย ที่ได้ลงหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลกว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงเป็นมิตรกับพระเจ้าซาร์ พอข่าวนี้ออกไป เหมือนกับชี้ว่าสยามกับรัสเซียเป็นพันธมิตรกัน แน่นอนว่าอังกฤษและฝรั่งเศษก็ไม่กล้ามาหือกับสยามอีก..####…

อ้างอิง.. Youtube ช่อง World of story

# # # # # ขอบคุณสำหรับการติดตามและกลับเข้ามาอีกครั้ง-

 

#สนันสนุนสินค้าจากผู้อุถัมป์ของเราเท่ากับ

ยืดอายุให้กับ watcharapong.net ครับ

:: หน้าแนะนำสินค้าที่ได้รับการตอบรับดี
= http://www.watcharapong.net/recommendedgoods/

 

 

2 Replies to “ตอน37 : รู้ไหม สยามแน่แค่ไหนจึงอยู่รอดมาได้ในในสมัยยุคล่าอาณานิคม ?”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *